Site icon มูลนิธิยุวพัฒน์

เคล็ดลับการออม: ควรมีเงินออมเท่าไหร่ในแต่ละช่วงอายุ?

การมีเงินออมเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ความเป็นอยู่ของเราสุขสบาย ไม่เดือดร้อนทางการเงิน การออมเงินไม่เพียงแต่ช่วยให้เรามีเงินสำรองเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน แต่ยังช่วยให้เรามีเงินที่จะนำไปลงทุนให้งอกเงยได้อีกด้วย

แล้วในแต่ละช่วงอายุ เราควรมีเงินออมเท่าไหร่? มาดูกันว่าเราควรจะมีเงินออมเท่าไหร่เพื่อให้เพียงพอตลอดช่วงชีวิต

ช่วงอายุ 20 – 30 ปี

ช่วงนี้เป็นช่วงเริ่มทำงาน มีเงินเดือนและรายได้ที่ชัดเจน การเริ่มออมเงินในช่วงนี้จะช่วยให้เรามีเงินสะสมมากขึ้นในระยะยาว หากเราวางแผนออมเงินเร็วและบริหารรายรับรายจ่ายอย่างเหมาะสม โดยไม่สร้างหนี้สินเกินกำลัง เราสามารถหักรายได้ 10-20% เพื่อเป็นเงินออมได้

ตัวอย่าง:

  • รายได้: 15,000 บาท/เดือน
  • หักเพื่อออม 15%: 2,250 บาท
  • คงเหลือเงินใช้จ่าย: 12,750 บาท
  • ถ้าเก็บเงินเดือนละ 2,250 บาท เป็นเวลา 10 ปี จะมีเงินเก็บ 270,000 บาท

ช่วงอายุ 31 – 40 ปี

ช่วงนี้มีความมั่นคงในหน้าที่การงานมากขึ้น แต่ก็มีภาระหน้าที่ในการสร้างรากฐานให้ชีวิต เช่น ซื้อบ้าน ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ รวมถึงรายจ่ายของลูกและครอบครัว เราจึงควรแบ่งเงินออมที่เก็บไว้ก่อนหน้านี้เพื่อการลงทุนเพิ่มเติม วัยนี้สามารถหักรายได้ 20-30% เพื่อเป็นเงินออม

ช่วงอายุ 41 – 50 ปี

ช่วงนี้รายได้และความมั่นคงในหน้าที่การงานมากขึ้น ภาระหนี้สินอาจจะเริ่มน้อยลง หรือหมดภาระหนี้สินแล้ว การออมเงินในวัยนี้จึงสามารถเพิ่มมากขึ้นได้ เพื่อเป็นเงินออมไว้ใช้หลังเกษียณ วัยนี้สามารถหักรายได้ 40-50% เพื่อเป็นเงินออม

ช่วงอายุ 55 ปีขึ้นไป

ช่วงนี้เป็นช่วงเกษียณจากงาน รายได้ลดลง และเป็นช่วงที่จะต้องนำเงินที่เก็บออมสะสมออกมาใช้จ่าย การออมอาจจะลดจำนวนลงเพราะรายได้ลดลง วัยนี้สามารถหักรายได้ 20-30% เพื่อเป็นเงินออม

ตัวอย่างอายุกับเงินออมที่เหมาะสม

หากเริ่มทำงานตอนอายุ 22 ปี ได้รับเงินเดือนในเดือนแรก 20,000 บาท

*ตัวเลขสมมติเพื่อประกอบการอธิบาย

หากอายุเฉลี่ยของคนเราอยู่ที่ 80 ปี นั่นหมายถึงจากอายุ 60 ปี (วัยเกษียณ) ไปจนถึง 80 ปี เป็นช่วง 20 ปี ที่รายได้เราลดลงหรือไม่มีรายได้แล้ว แต่เรายังมีค่าใช้จ่ายจำเป็น เช่น ค่าอาหาร ค่ารักษาพยาบาล ฯลฯ การใช้จ่ายจึงต้องนำเงินที่ออมออกมาใช้ จึงเป็นเหตุผลที่เพราะอะไรจึงต้องออมเงินตั้งแต่เรายังอายุน้อยๆ และหาวิธีการลงทุนที่เหมาะสม เพื่อให้เงินของเรางอกเงยเพียงพอที่จะใช้เลี้ยงดูตัวเองได้

สูตรคำนวณเงินเก็บหลังเกษียณ เพื่อนำไปวางแผนการเก็บเงิน

เงินที่ต้องการใช้หลังเกษียณ = ค่าใช้จ่ายที่ต้องการต่อเดือน x 12 เดือน x อายุขัยที่คาดว่าจะอยู่หลังเกษียณ

เช่น หากต้องการใช้เงินหลังวัยเกษียณอายุ 60 ปี เดือนละ 15,000 บาท ไปจนถึงอายุ 80 ปี (20 ปี) สามารถคำนวณได้ดังนี้:

ต้องการใช้เงินหลังเกษียณเดือนละ 15,000 บาท x 12 เดือน = 180,000 บาท
นำ 180,000 บาท x 20 ปี = 3,600,000 บาท
ยอดเงินออมที่ควรมีไว้ใช้หลังเกษียณ = 3,600,000 บาท ซึ่งยังไม่ใช่การคำนวณเผื่อเงินเฟ้อ

(เงินเฟ้อ คือ สภาวะที่ราคาสินค้าและบริการต่างๆ มีแนวโน้มในการปรับขึ้น หากต้องการคำนวณเผื่อเงินเฟ้อ ให้นำยอดเงิน 3,600,000 x 2 = 7,200,000 บาท)

เทคนิคการออมเงินให้ได้ผล

  1. ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน: การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนว่าจะออมเงินเพื่ออะไร เช่น ออมเงินเพื่อซื้อบ้าน รถ หรือเพื่อการเกษียณ จะช่วยให้เรามีแรงจูงใจในการออมเงินมากขึ้น
  2. ทำบันทึกรายรับรายจ่าย: การทำบันทึกรายรับรายจ่ายจะช่วยให้เรารู้ว่าเรามีรายจ่ายที่ไม่จำเป็นอะไรบ้าง และสามารถตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปได้
  3. ออมก่อนใช้: เมื่อได้รับเงินเดือนหรือรายได้ ควรหักส่วนที่ต้องการออมก่อน แล้วค่อยใช้จ่ายในส่วนที่เหลือ วิธีนี้จะช่วยให้เราสามารถออมเงินได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
  4. ลงทุนให้เงินงอกเงย: นอกจากการออมเงินแล้ว การนำเงินออมไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีโอกาสเติบโต เช่น กองทุนรวม หุ้น หรืออสังหาริมทรัพย์ จะช่วยให้เงินออมงอกเงยและเพิ่มขึ้นได้
  5. ลดหนี้สิน: การลดหนี้สินที่มีดอกเบี้ยสูง เช่น บัตรเครดิต หรือสินเชื่อส่วนบุคคล จะช่วยลดภาระการจ่ายดอกเบี้ยและทำให้เรามีเงินออมมากขึ้น

ประโยชน์ของการออมเงิน

  1. มีเงินสำรองฉุกเฉิน: การออมเงินจะทำให้เรามีเงินสำรองไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน เช่น การเจ็บป่วย การซ่อมแซมบ้าน หรือการซ่อมรถ
  2. ลดความเครียดทางการเงิน: การมีเงินออมจะช่วยลดความเครียดทางการเงิน เพราะเราจะรู้สึกมั่นใจว่าเรามีเงินเพียงพอในการใช้จ่ายในอนาคต
  3. สร้างความมั่นคงในชีวิต: การมีเงินออมจะช่วยสร้างความมั่นคงในชีวิต เพราะเราจะมีเงินเพียงพอในการดำรงชีวิตอย่างสุขสบาย

ข้อควรระวังในการออมเงิน

  1. อย่าออมเงินจนเกินไป: การออมเงินเป็นเรื่องดี แต่ไม่ควรออมเงินจนทำให้เราต้องขาดความสุขในชีวิตปัจจุบัน ควรแบ่งสัดส่วนเงินออมและเงินใช้จ่ายอย่างเหมาะสม
  2. ระวังการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง: การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น หุ้น หรือคริปโตเคอเรนซี ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและไม่ลงทุนเกินกว่าที่เราจะรับความเสี่ยงได้

การออมเงินเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนควรให้ความใส่ใจ เริ่มต้นออมเงินตั้งแต่วันนี้และวางแผนการเงินให้ดีเพื่อให้เรามีชีวิตที่มั่นคงและสุขสบายในอนาคต

Exit mobile version