Site icon มูลนิธิยุวพัฒน์

“ครูมุ่ย” ครูแนะแนวรุ่นใหม่ที่เชื่อว่า “ไม่มีเด็กคนไหนเปลี่ยนแปลงไม่ได้”

HIGHLIGHT:

  • เชื่อว่าเด็กทุกคนพัฒนาได้ แม้มีพื้นฐานที่แตกต่างกัน
  • ครูแนะแนวไม่ใช่แค่ให้คำปรึกษา แต่ช่วยเด็กค้นหาความถนัดและเส้นทางชีวิต
  • ปรับตัวให้เข้ากับเด็กยุคใหม่ แก้ปัญหาการเรียนรู้ เช่น การใช้มือถือในห้องเรียน
  • ดูแลนักเรียนทุนยุวพัฒน์ ติดตามใกล้ชิด ป้องกันการหลุดจากระบบการศึกษา
  • อยากเห็นครูมีเวลาสอนมากขึ้น ลดภาระงานเอกสารเพื่อคุณภาพการเรียนรู้ที่ดีขึ้น
  • ฝากถึงครูรุ่นใหม่ “งานของครูไม่ใช่แค่อาชีพ แต่เป็นภารกิจที่เปลี่ยนชีวิตเด็กได้จริงๆ”

ในโลกของการศึกษา มีครูจำนวนมากที่ทำงานหนักเพื่อพัฒนาเด็กๆ ให้เติบโตเป็นคนดีและมีอนาคตที่สดใส ครูขวัญชนก จาดสกุล หรือ “ครูมุ่ย” จากโรงเรียนบ้านเกาะรัง จังหวัดลพบุรี เป็นหนึ่งในครูรุ่นใหม่ที่มุ่งมั่นในการสอน แม้จะต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย แต่ก็ไม่เคยยอมแพ้ เพราะเชื่อว่า “เด็กทุกคนสามารถพัฒนาได้” ไม่ว่าจะมาจากพื้นฐานแบบใดก็ตาม

ครูมุ่ยจบการศึกษาด้านแนะแนว แม้ตอนแรกจะไม่รู้แน่ชัดว่าครูแนะแนวต้องทำอะไรบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่รู้มาตลอดคือ เธออยากเป็นครู เมื่อเรียนไปเรื่อยๆ จึงได้ค้นพบว่าการแนะแนวไม่ใช่แค่การให้คำปรึกษาเท่านั้น แต่เป็นการช่วยให้เด็กๆ ค้นพบศักยภาพของตัวเอง และช่วยพวกเขาตัดสินใจเลือกเส้นทางชีวิต

ในช่วงแรกของการสอน ครูมุ่ยต้องปรับตัวอย่างมาก โดยเฉพาะกับการทำความเข้าใจพื้นฐานของเด็กแต่ละคน นักเรียนบางคนขาดโอกาสทางการศึกษา บางคนไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน จึงมุ่งเน้นการให้คำปรึกษาแบบเชิงรุก เพื่อให้พวกเขารู้สึกว่า มีใครบางคนคอยรับฟังและพร้อมจะช่วยเหลือ

ปัจจุบัน ครูมุ่ยสอนทั้งวิชาภาษาไทยและแนะแนว ตั้งแต่ระดับประถมจนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 ข้อดีของการสอนทุกระดับคือ ได้รู้จักเด็กแต่ละช่วงวัย เห็นพัฒนาการ และสามารถปรับวิธีการสอนให้เหมาะสมกับเด็กแต่ละกลุ่ม

ในโรงเรียนขยายโอกาส ครูแนะแนว มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้นักเรียนเข้าใจเส้นทางการศึกษาและอาชีพที่เหมาะสม ครูมุ่ยใช้วิธีพูดคุยกับนักเรียนเพื่อให้พวกเขาเห็นถึงความถนัดและความชอบของตัวเอง จากนั้นจึงให้คำแนะนำเกี่ยวกับเส้นทางการเรียนต่อและอาชีพที่สอดคล้องกับความสามารถของแต่ละคน

จากประสบการณ์ที่ได้สอนในโรงเรียนขยายโอกาส เด็กส่วนใหญ่ไม่รู้เป้าหมายชีวิต จึงต้องให้คำปรึกษากับนักเรียนเพื่อให้เห็นว่าเขาชอบและถนัดวิชาไหน โดยเฉพาะช่วง ม. 3 และ ม. 6 ที่จะต้องเลือกว่าจะเรียนต่อสายวิชาไหน และมีเป้าหมายอาชีพของตนเองอย่างไร ในฐานะครูก็จะคอยประคองให้นักเรียนสามารถเลือกทางเดินได้

ครูมุ่ยต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมเด็กในยุคปัจจุบัน โดยสังเกตเห็นว่าเด็กบางคนไม่มีวินัยในตนเอง เนื่องจากสภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดูที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะปัญหาการใช้โทรศัพท์มือถือที่กลายเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ จึงใช้แนวทางการมีข้อตกลงร่วมกันในห้องเรียน เช่น การกำหนดเวลาเล่นโทรศัพท์ หรือหากิจกรรมอื่นๆ ให้เด็กทำแทน

ครูมุ่ยยอมรับว่า แม้จะรู้สึกเหนื่อยและท้อในบางครั้ง แต่ก็มีวิธีเยียวยาตัวเอง เช่น การพูดคุยกับเพื่อนครูในโรงเรียนเดียวกันเพื่อแบ่งปันประสบการณ์และระบายความรู้สึก หนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้เข้าใจเด็กมากขึ้นคือ เมื่อนักเรียนคนหนึ่งแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวหลังถูกตักเตือนเรื่องการใส่หูฟังในห้องเรียน

ครูมุ่ยเล่าว่า ตอนแรกรู้สึกเสียใจ แต่หลังจากออกไปสงบสติอารมณ์และพูดคุยกับครูคนอื่น เธอก็ตัดสินใจกลับมาคุยกับเด็กนักเรียนด้วยเหตุผล สุดท้ายนักเรียนคนนั้นขอโทษและพยายามปรับปรุงพฤติกรรม

เธอเชื่อว่าเด็กที่มีปัญหา ไม่ใช่เด็กที่ไม่ดี แต่เป็นเด็กที่ต้องการโอกาสและคนที่เข้าใจ ดังนั้น จึงไม่มองพวกเขาในแง่ลบ แต่เลือกที่จะเป็นที่พึ่งให้พวกเขาแทน

อีกหนึ่งหน้าที่สำคัญของครูมุ่ยคือ การดูแลนักเรียนทุนของมูลนิธิยุวพัฒน์ ซึ่งมีระบบติดตามนักเรียนเพื่อป้องกันการหลุดออกจากระบบการศึกษา โดยย้ำว่าเด็กที่ได้รับทุนต้องมีพฤติกรรมดี ตั้งใจเรียน และเห็นคุณค่าของเงินที่ได้รับ เธอจึงให้ความสำคัญกับการคัดเลือกนักเรียน เมื่อได้รับทุนแล้วก็ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด

การเป็นครูดูแลทุนเป็นหน้าที่ที่มาพร้อมกับคำว่าครูเเนะเเนว ตอนได้บรรจุที่โรงเรียนบ้านเกาะรัง ยอมรับว่าไม่รู้จะต้องทำอย่างไร ก็พยายามเรียนรู้ จนเข้าใจว่าระบบทุนของมูลนิธิฯ เป็นอย่างไร มีกระบวนการทำงานที่ดี มีการประสานงานกันอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับมีระบบคอยติดตามดูแลนักเรียนที่ได้ทุน เพื่อช่วยกันป้องกันไม่ให้เด็กหลุดจากระบบ

ครูมุ่ยเคยเจอเคสของนักเรียนที่เกือบหลุดจากระบบ เพราะไม่มาโรงเรียนหลายวัน จึงประสานงานกับมูลนิธิฯ และครูประจำชั้นเพื่อติดตามนักเรียนกลับมาเรียน จนในที่สุดเด็กคนนี้สามารถกลับมาเรียนได้ และขณะนี้ก็กำลังจะจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกภูมิใจว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ได้ช่วยเปลี่ยนชีวิตของเด็กคนหนึ่งให้ดีขึ้น

เด็กที่ได้รับทุนการศึกษาส่วนใหญ่เป็นเด็กยากจน เมื่อได้ทุนก็จะนำไปช่วยเหลือครอบครัว เเบ่งเบาภาระที่บ้านได้ด้วย ส่วนหนึ่งมีการเก็บไว้เรียน ซื้ออุปกรณ์การเรียน

ในฐานะครูรุ่นใหม่ ครูมุ่ยต้องการเห็นการศึกษาของไทยพัฒนาไปในทางที่ให้ครูมีเวลาสอนเด็กมากขึ้น ลดภาระงานเอกสารที่มากเกินไป เพราะเชื่อว่าการสอนที่มีคุณภาพจะช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตเด็กได้

สิ่งที่อยากเห็นสำหรับระบบการศึกษา ก็คือ ครูมีเวลาสอนนักเรียนอย่างใกล้ชิด เพราะต้องยอมรับว่าครูทำงานเยอะมาก เช่น การทำงานเอกสาร งานในโรงเรียนต่างๆ จึงทำให้รู้สึก เหนื่อย ท้อ สุดท้ายถึงจะรู้สึกแบบนั้น แต่เราก็เลือกที่จะเป็นครูและตั้งใจมาสอนเเล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุด เพราะเเค่สอนเเล้วนักเรียนตั้งใจเรียน ก็ช่วยเพิ่มพลังในวันที่เหนื่อยได้

ครูมุ่ยฝากถึงครูรุ่นใหม่ว่า หากรู้สึกเหนื่อยหรือท้อ ให้มองย้อนกลับไปที่นักเรียนที่เขามีชีวิตที่ดีขึ้น ใช้สิ่งนั้นเป็นแรงผลักดันให้เดินหน้าต่อไป เพราะสุดท้ายแล้ว งานของครูไม่ได้เป็นเพียงอาชีพ แต่เป็นภารกิจที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตคนได้จริงๆ

Exit mobile version