“ขอให้ลูกเป็นคนดีก็พอแล้ว” เป็นคำพูดที่ผู้ปกครองหลายคนใช้เมื่อพูดถึงความหวังในอนาคตของลูก แต่เมื่อมองลึกลงไป คำพูดนี้อาจไม่ได้เพียงพอในโลกที่เต็มไปด้วยความกดดันและความคาดหวังจากสังคมในเรื่องความสำเร็จ

ทุกวันนี้ เด็กๆ ถูกกระตุ้นให้พุ่งไปสู่ความสำเร็จในชีวิตโดยเร็วที่สุด บางครั้งผู้ปกครองเองก็มีส่วนร่วมในการเร่งรัดให้ลูกก้าวหน้าในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การกีฬา หรือกิจกรรมอื่นๆ ในขณะที่ความดีงามในจิตใจอาจถูกมองข้าม หรือถูกแทนที่ด้วยความต้องการให้เด็กเป็น “ผู้ชนะ” ในสายตาคนอื่น

วิ่งไปสู่ความสำเร็จ…หรือหลงทาง?

บ่อยครั้งที่เรามักจะเปรียบชีวิตเหมือนการเดินทาง และในยุคนี้การเดินทางนั้นดูเหมือนจะเป็นการแข่งขันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เราอาจมองข้ามสิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นระหว่างทางไปโดยสิ้นเชิง การเร่งรีบเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายอาจทำให้เราไม่ได้พิจารณาว่าทางที่เรากำลังวิ่งไปนั้นเหมาะสมหรือไม่

สำหรับเด็กที่ยังไม่รู้แน่ชัดว่าตัวเองต้องการอะไรในชีวิต การถูกผลักดันให้วิ่งตามเป้าหมายที่ผู้ใหญ่วางไว้ อาจทำให้พวกเขาพลาดโอกาสที่จะค้นหาตัวตนและทำความเข้าใจถึงคุณค่าของการเติบโตการเป็นคนที่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

ความสำเร็จที่แท้จริงคืออะไร?

ในสังคมที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและการเปรียบเทียบ ความสำเร็จมักถูกตีความหมายในแง่ของการเป็นที่หนึ่งหรือการก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ความสำเร็จที่แท้จริงไม่ควรจะถูกวัดจากการเอาชนะผู้อื่นเสมอไป

ความสำเร็จที่ยั่งยืนควรมาจากการสั่งสมประสบการณ์ และการเรียนรู้ระหว่างเส้นทางของชีวิต การเคารพและยอมรับในความสามารถของตัวเองและผู้อื่น ไม่ว่าเราจะไปถึงเป้าหมายหรือไม่ นั่นคือสิ่งที่ทำให้เราเป็นผู้ชนะในชีวิตจริงๆ

การสอนความเห็นอกเห็นใจ: บทเรียนที่หายไป

การสอนให้เด็กรู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่น ควรเริ่มจากการสอนให้พวกเขารับรู้ถึงความรู้สึกของตัวเองก่อน เมื่อเด็กสามารถเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองได้ พวกเขาจะสามารถเข้าใจและเห็นใจผู้อื่นได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้การสอนเรื่องอารมณ์และความรู้สึกอาจถูกมองข้ามไป ผู้ปกครองหลายคนมุ่งเน้นที่การแก้ไขปัญหาที่เห็นได้ทันที เช่น การรีบดึงเด็กขึ้นมาจากการหกล้ม หรือเบี่ยงเบนความสนใจไปที่สิ่งอื่น ๆ โดยไม่ได้ให้เด็กได้มีโอกาสระบายหรือแสดงออกถึงความรู้สึกของพวกเขาจริง ๆ

การที่เด็กไม่ได้รับการปลอบโยนหรือไม่ได้มีโอกาสพูดคุยถึงความรู้สึกของตัวเอง ทำให้พวกเขาอาจเก็บกดอารมณ์ไว้ และในระยะยาวสิ่งนี้อาจส่งผลต่อพฤติกรรมและอารมณ์ของพวกเขาในอนาคต

ความดีที่แท้จริง…ไม่ใช่แค่การทำตามกฎ

ความดีไม่สามารถถูกบังคับให้เกิดขึ้นได้ ความดีที่แท้จริงต้องมาจากความรู้สึกภายใน ซึ่งจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเด็กมีความรู้สึกที่ชัดเจนต่อสิ่งที่พวกเขาทำ การสอนให้เด็กเข้าใจความรู้สึกของตัวเอง และเรียนรู้ที่จะเห็นใจผู้อื่น เป็นการปูพื้นฐานให้พวกเขาเติบโตเป็นคนดีในอนาคต

การเรียนรู้เหล่านี้สามารถเริ่มต้นได้จากชีวิตประจำวัน เช่น การที่ผู้ปกครองเล่าให้เด็กฟังว่าคนอื่น ๆ ก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกับพวกเขา การสอนให้เด็กเข้าใจว่าการกระทำของเขาส่งผลต่อความรู้สึกของผู้อื่นอย่างไร จะช่วยสร้างความตระหนักรู้และความรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง

“คนดี” ในสายตาของผู้ปกครอง

เมื่อพูดถึงการเป็นคนดี เราอาจต้องกลับมาทบทวนว่า “ความดี” ในสายตาของผู้ปกครองนั้นหมายถึงอะไร? การเป็นคนดีหมายถึงการเป็นที่หนึ่งเสมอไปหรือไม่? หรือความดีควรรวมถึงการมีน้ำใจ การช่วยเหลือผู้อื่น และการเข้าใจความรู้สึกของคนรอบข้าง?

บางครั้ง การที่เรามุ่งเน้นที่ความสำเร็จอย่างเดียว อาจทำให้เรามองข้ามคุณค่าของการเป็นคนดีในแบบที่สมดุลและยั่งยืน พ่อแม่คือครูคนแรกของลูก และการที่พ่อแม่สามารถปลูกฝังความเข้าใจในเรื่องความดีและความเห็นอกเห็นใจในลูกได้จะเป็นการวางรากฐานที่มั่นคงให้กับอนาคตของพวกเขา

ในโลกที่เรามุ่งเน้นความสำเร็จอย่างรวดเร็ว เราอาจต้องกลับมาทบทวนถึงความสำคัญของการสอนเด็กให้เข้าใจความรู้สึกของตัวเองและผู้อื่น การเป็นคนดีไม่ใช่แค่การทำตามกฎหรือการเป็นที่หนึ่ง แต่คือการเติบโตเป็นคนที่มีจิตใจดี มีความเห็นอกเห็นใจ และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข

พ่อแม่มีบทบาทสำคัญในการปลูกฝังคุณค่าเหล่านี้ให้กับลูก ๆ และเมื่อเราพูดว่า “ขอให้ลูกเป็นคนดีก็พอแล้ว” เราควรจะถามตัวเองว่า ความดีที่เราพูดถึงนั้นเพียงพอสำหรับอนาคตของลูกจริงๆ หรือไม่?

ผู้เขียน : ทอรุ้ง
#อาสาเขียนบทความ